Leadrning Logs 4
wednesday 29 August 2018
พัฒนาการทางสติปัญญาที่เป็นไปตามวัยเป็นลำดับขั้น ดังนี้
- ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
- ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็นขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ
-- ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามาเป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง
-- ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยกประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ - ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่งสิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมได้
- ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์
- ขั้นการเรียนรู้จากการกระทำ (Enactive Stage) คือ ขั้นของการเรียนรู้จากการใช้ประสาทสัมผัสรับรู้สิ่งต่าง ๆ การลงมือกระทำช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ดี การเรียนรู้เกิดจากการกระทำ
- ขั้นการเรียนรู้จากความคิด (Iconic Stage) เป็นขั้นที่เด็กสามารถสร้างมโนภาพในใจได้ และสามารถเรียนรู้จากภาพแทนของจริงได้
- ขั้นการเรียนรู้สัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้นการเรียนรู้สิ่งที่ซับซ้อนและเป็นนามธรรมได้
ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้นของมาสโลว์(Hierarchy of Needs)
1.ความต้องการทางสรีระ(Physiological Needs)
2. ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย (Safety Needs
3.ความต้องการความรักและเป็นส่วนหนึ่งของหมู่คณะ (Love and belonging Needs
4. ความต้องการที่จะรู้สึกว่าตนเองมีค่า (Esteem Needs)
5. ความต้องการที่จะรู้จักตนเองตามสภาพที่แท้จริง และพัฒนาศักยภาพของตน (Self-Actualization Needs)
ทฤษฏีพัฒนาจริยธรรมของโคลเบิร์ก
แนวคิดของโคลเบิร์ก (Kolberg) ใกล้คียงกับเพียเจต์ ( Piaget) คือเชื่อว่าพัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์พัฒนาการได้ตามวัย และวุฒิภาวะทางสติปัญญา พัฒนาการทางจริยธรรมของมนุษย์ไม่ใช่การป้อนรูปแบบ กล่าวคือดูรูปหนึ่งจบแล้ว ดูอีกรูปหนึ่งโดยที่รูปแรกไม่ปรากฏในสายตาอีกต่อไป แต่พัฒนาการของมนุษย์จะค่อยๆพัฒนาไปตามวัน เวลา เจริญขึ้นเรื่อย ๆ
วิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ หมายถึงสิ่งต่างที่อยู่รอบตัวเรา ที่สามารถนำมาเรียนรู้และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเรา
ความสำคัญของวิทยาศาสตร์
ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีต่างๆ ใช้สร้างเครื่องมือทางการแพทย์ การเพาะปลูกขยายพันธุ์ และส่งผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ได้แก่ การใช้เทคโนโลยีต่างๆ ใช้สร้างเครื่องมือทางการแพทย์ การเพาะปลูกขยายพันธุ์ และส่งผลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กสามารถคิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้ แก้ไขปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ลงมือกระทำตามสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเด็ก
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย มี 6 ทักษะ ดังนี้
1.ทักษะการสังเกต (Observation)
เป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยตรงกับวัตถุ เพื่อมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลในรายละเอียดนั้นๆ
เช่น การสังเกตรูปร่างทั่วไป
2.ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying)
เป็นความสามารถในการแบ่งประเภทของสิ่งของโดยใช้เกณฑ์ (Criteria)
เช่น ความเหมือน (หมวกที่มีสีเหมือนกัน) ความแตกต่าง (กล่องใบใหญ่-กล่องใบเล็ก) ความสัมพันธ์ร่วม (รูปภาพรถ-ถนน)
3.ทักษะการวัด ( Measurement)
เป็นการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อวัดหาปณิมาณในสิ่งที่เราต้องการทราบ
เช่น รู้จักกับสิ่งของที่จะวัดเป็นอย่างไร การเลือกเครื่องมือมาวัด วิธีการการวัด
4.ทักษะการสื่อความหมาย (Communication)
เป็นการพูด การเขียน การสร้างรูปภาพและภาษาท่าทาง การแสดงสีหน้า เพื่อให้รับข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เช่น ต้องรู้จักลักษณะคุณสมบัติวัตถุ บันทึกการเปลี่ยนแปลง การบอกความสัมพันธ์ของข้อมูลที่จัดทำได้ การจัดทำข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
5.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Interring)
เป็นการเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ เช่น การหาข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ การสรุปความสัมพันธ์สิ่งของต่างๆ การสังเกตการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆรอบตัว
6.ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา (Space)
เป็นการเรียนรู้ใน 1 มิติ 2 มิติ 3 มิติ การเขียนภาพ 2 มิติแทนรูป 3 มิติ และการบอกทิศทาง
เช่น การบอกความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางกับวัตถุ การบอกตำแหน่งซ้าย-ขวา
การสังเกตภาพ 2 มิติ 3 มิติ
7.ทักษะการคำนวณ (Calculation)
เป็นความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุต่างๆ การบวก ลบ คูณ หาร ความยาว ความสูง
เช่น การคำนวณรายรับ-รายจ่าย การคำนวณความยาวของรองเท้า
เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กสามารถคิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้ แก้ไขปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ผู้สอนควรจัดกิจกรรมที่ให้เด็กได้ลงมือกระทำตามสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเด็ก
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย มี 6 ทักษะ ดังนี้
1.ทักษะการสังเกต (Observation)
เป็นการใช้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยตรงกับวัตถุ เพื่อมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลในรายละเอียดนั้นๆ
เช่น การสังเกตรูปร่างทั่วไป
2.ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying)
เป็นความสามารถในการแบ่งประเภทของสิ่งของโดยใช้เกณฑ์ (Criteria)
เช่น ความเหมือน (หมวกที่มีสีเหมือนกัน) ความแตกต่าง (กล่องใบใหญ่-กล่องใบเล็ก) ความสัมพันธ์ร่วม (รูปภาพรถ-ถนน)
3.ทักษะการวัด ( Measurement)
เป็นการใช้เครื่องมือต่างๆ เพื่อวัดหาปณิมาณในสิ่งที่เราต้องการทราบ
เช่น รู้จักกับสิ่งของที่จะวัดเป็นอย่างไร การเลือกเครื่องมือมาวัด วิธีการการวัด
4.ทักษะการสื่อความหมาย (Communication)
เป็นการพูด การเขียน การสร้างรูปภาพและภาษาท่าทาง การแสดงสีหน้า เพื่อให้รับข้อมูลได้อย่างถูกต้อง เช่น ต้องรู้จักลักษณะคุณสมบัติวัตถุ บันทึกการเปลี่ยนแปลง การบอกความสัมพันธ์ของข้อมูลที่จัดทำได้ การจัดทำข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
5.ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล (Interring)
เป็นการเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ เช่น การหาข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ การสรุปความสัมพันธ์สิ่งของต่างๆ การสังเกตการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆรอบตัว
6.ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา (Space)
เป็นการเรียนรู้ใน 1 มิติ 2 มิติ 3 มิติ การเขียนภาพ 2 มิติแทนรูป 3 มิติ และการบอกทิศทาง
เช่น การบอกความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางกับวัตถุ การบอกตำแหน่งซ้าย-ขวา
การสังเกตภาพ 2 มิติ 3 มิติ
7.ทักษะการคำนวณ (Calculation)
เป็นความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุต่างๆ การบวก ลบ คูณ หาร ความยาว ความสูง
เช่น การคำนวณรายรับ-รายจ่าย การคำนวณความยาวของรองเท้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น